แนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย

Main Article Content

สันติ ป่าหวาย Santi Pawai
อนันต์ ธรรมชาลัย Anan Thamchalai
สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาการจัดการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย 3) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ปัจจัยของธุรกิจนำเที่ยว และปัจจัยส่งเสริมการจัดการธุรกิจนำเที่ยวที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยว และ 4) เสนอแนะแนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้วิธีสุ่มเก็บตัวอย่างผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจำนวน 450 ราย โดยการใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิง ปริมาณ ใช้สถิติ ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สมการถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression Analysis) และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว จำนวน 10 คน ผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 9 คน รวมจำนวน 19 คน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยว จำนวน 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและบรรยายเชิงพรรณนา


     ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัญหาการจัดการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย ประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายในองค์กร และปัจจัยภายนอกองค์กร โดยระดับการจัดการธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ปัจจัยการจัดการธุรกิจนำเที่ยวส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยว พบว่า ปัจจัยการจัดการธุรกิจนำเที่ยว โดยรวม มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยวในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมี ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์การ ด้านการควบคุม และ ด้านการเป็นผู้นำ มีอิทธิผลที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยว และสามารถร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยวได้ร้อยละ 74.2 (Adjusted R Square = 0.742) เมื่อพิจารณาค่าน้ำหนักของตัวแปรอิสระที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยวโดยรวม พบว่า ด้านการเป็นผู้นำมีน้ำหนักมากสุด (Beta = 0.488) ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการจัดการธุรกิจนำเที่ยว และมีแนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวควรมีการวางแผน การพัฒนา การป้องกัน การรวมตัวเป็นองค์กรเอกชน และภาครัฐควรทำการส่งเสริม การพัฒนา การปรับปรุง และการป้องกันแก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
Santi Pawai ส. ป., Anan Thamchalai อ. ธ., & ศิริวิศิษฐ์กุล ส. (2018). แนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย. วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี, 12(Special), 115–133. สืบค้น จาก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/journaldtc/article/view/129535
ประเภทบทความ
บทความวิชาการ

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2559). ยุทธศาสตร์และนโยบาย. [ออนไลน์].แหล่งที่มา : https://www.mots.go.th/ main.php? Filename**index [2560, กุมภาพันธ์ 17]
กฤษณนันท์ นันจรูญ. (2558). การศึกษารูปแบบภาวะผู้นำที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลในการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้. ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ทองใบ กาญจนาภรณ์. (2553). แนวทางการจัดการคุณภาพบริการของบริษัทนำเที่ยวต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ.ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, คณะบริหารธุรกิจ, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ธราพงศ์ ลิ้มสุทธิวรรณภูมิ. (2558). บทบาทของภาครัฐก่อให้เกิดความได้เปรียบในด้านการแข่งของรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอุตสาหกรรมโรงแรมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง
นิภา วธาวนิชกุล. (2551). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรงแรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.
มนัสนันท์ มณีขัติย์. (2551). ผลกระทบของประสิทธิผลพันธมิตรทางธุรกิจที่มีต่อศักยภาพการ แข่งขันของธุรกิจนำาเที่ยวในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยว ว่าด้วย มาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวพึงปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยว และความรับผิดชอบที่มีต่อนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตลอดจนค่าตอบแทนหรือความคุ้มครองที่มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวจะพึงได้รับจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. ๒๕๕๖.ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 130. ตอนพิเศษ 105 ง. 23 สิงหาคม 2556.
Adhikary, M. (1995). Management of Ecotourism. Bangkok: Srinakarinwirot University.
Bartol, K. M., & Martin, D. C. (1997). Management. (2nd ed.). New York: McGraw - Hill
Gibson, J.H., John, M.I. & James H.D. (1982). Orgionizations : Behavior structure and
Processes(4th ed): Austin, TX: Business Publications.
Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement.
Lawrence & Lorch, Z., 1967, Organisation and Rnvironment. Boston: Harvard University Oress.
Robbins, M. Coulter. (2005). Management. 8th ed. New Jersey: Pearson.
Steers, R.M. (1977). Organization Effectiveness. California: Goodyear Publishers Inc.